เเน่นอนว่าสมาร์ทโฟนที่เป็นไฮไลท์มากที่สุดของปีนี้คือ iPhone 5 ของ Apple ที่เป็นตัวเเทนในฝั่ง iOS เเละ Samsung Galaxy S III ที่เป็นตัวเเทนในฝั่ง Android
วัสดุ
iPhone 5 นั้นวัสดุยังคงทำจากอลูมิเนียมเเละกระจกเช่นเดิม ส่วน Galaxy S III นั้นทำมาจาก Polycarbonate ที่เป็นพลาสติกชนิดหนึ่ง ถ้าเทียบกันตรงๆ เเล้วอาจจะไม่สามารถวัดได้ว่าอะไรดีกว่ากันซึ่งอยู่กับความชอบเป็นหลัก โดย Polycarbonate ของ Galaxy S III ก็ถือว่าทำออกมาได้เเข็งเเรงเเละน่าใช้ (ไม่นับเรื่องปัญหา QC) ดีเเละถือว่ามีพัฒนาการจาก Galaxy S II อย่างชัดเจน ซึ่งตรงนี้ไม่อยากให้ตั้งเเง่กับความเป็นพลาสติกมากนักเนื่องจาก Lumia หรือ HTC One X เองก็ทำมาจากพลาสิกเช่นกัน เเต่ก็สามารถให้ความรู้สึกพรีเมียมเเละรู้สึกดีเวลาจับได้
ในขณะที่ iPhone 5 นั้นวัสดุก็ยึดมาตาม iPhone 4S ที่มีดีไซน์เเละงานประกอบอยู่ในระดับสูงอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าชอบวัสดุในสไตล์ของอลูมิเนียมก็ไปทาง iPhone 5 (หรือ HTC One S) ส่วน Galaxy S III เป็น Polycarbonate เเบบเงา ซึ่งเเนะนำให้ไปจับตัวจริงว่าชอบหรือไม่ชอบจะดีที่สุดครับ
หน้าจอ
หน้าจอ ของ Samsung Galaxy S III นั้นมีขนาดใหญ่กว่าเเละละเอียดมากกว่า iPhone 5 โดยมีขนาดที่ 4.8 นิ้ว เมื่อเทียบกับ 4 นิ้ว นอกจากนี้เเล้วความละเอียดจอของ Samsung Galaxy S III ยังมากกว่าเล็กน้อย คือขนาด 1280 x 720 ส่วน iPhone 5 นั้นอยู่ที่ 1136 x 640 พิกเซล ทำให้การมองคอนเทนท์ต่างๆ ใน Galaxy S III นั้นจะใหญ่กว่าชัดเจน เเต่เนื้อหาที่เเสดงนั้นไม่ต่างกันมากนักสำหรับทั้งสองเครื่องเรียกว่าเวลาเปิดเว็บไซต์ก็จะเห็นเนื้อหาได้พอๆ กัน
มาถึงเทคโนโลยีหน้าจอ ซึ่ง Galaxy S III นั้นใช้จอ Super AMOLED HD เเบบ Pentile ที่มีการเรียงซับพิกเซลต่างไปจากปกติที่เป็น RGBG เเละหน้าจอสีออกไปทางสีฟ้าสำหรับ Galaxy S III ถึงเเม้ว่าหน้าจอจะเเสดงสีขาวล้วนก็ตาม เเต่เนื่องจากหน้าจอนั้นละเอียดมากทำไม่ให้เห็นจุดอ่อนของหน้าจอเเบบ Pentile ที่จะเเสดงผลเป็นหยักเเละดูไม่คมเท่าไรนัก ส่วน iPhone 5 จะเป็นหน้าจอ IPS ที่เรียกว่า ?Retina Display? เนื่องจากมีความหนาเเน่นพิกเซลที่สูง ซึ่งหน้าจอของ iPhone 5 ก็น่าจะเเสดงสีได้ดียิ่งขึ้นเนื่องจากมีการรวมทัชเซนเซอร์เข้าไปกับกระจกเเล้ว ทำให้กระจกหน้าจอบางลงกว่าเดิมเเละเเสดงสีได้สวยงามยิ่งขึ้นเนื่องจากหน้าจอเเสดงผลที่ออกมาเป็นพิกเซลเเละกระจกอยู่ใกล้กันมาก ใครที่ชอบใจในความคมชัดของ iPhone 4S อยู่เเล้ว iPhone 5 ก็เป็นหน้าจอที่เหนือกว่าเเน่นอน
โดยสรุปเเล้วหน้าจอของ Galaxy S III เหมาะสำหรับคนที่ต้องการใช้งานสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ ที่มองเห็นได้เต็มตาเเละไม่ต้องเสียเวลาเพ่งมากนัก ในขณะที่หน้าจอ iPhone 5 จะเด่นในเรื่องความคมชัด สีที่เที่ยงตรง สดใสเเละ เป็นธรรมชาติ มากกว่าจอของ Super AMOLED ทีี่มักจะมีสีสดมากเกินไป ทำให้ภาพต้นฉบับกับหน้าจอที่เเสดงออกมาไม่ตรงตามความจริงนัก
ตัวประมวลผล
สำหรับตัวประมวลผลของ Samsung Galaxy S III นั้นใช้ Exynos Quad 4412 ที่ประกอบไปด้วยซีพียู ARM Cortex A9 จำนวน 4 คอร์ที่ความเร็ว 1.4 GHz เเละตัวประมวลผลกราฟฟิค Mali-400MP4 เเต่สำหรับ Apple A6 ใน iPhone 5นั้น นั้นข้อมูลซีพียูยังออกมาเเบบไม่เป็นทางการเเต่คาดว่าใช้ซีพียู ARM Cortex A15 รุ่นดัดเเปลงจาก Apple เอง ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม เเต่ว่า Apple A6 มีซีพียูความเร็ว 1.0 GHz เพียง 2 คอร์เท่านั้น เเต่จากผลทดสอบนั้นเรียกว่ามีประสิทธิภาพด้อยกว่าเเละเหนือกว่า Galaxy S III เล็กน้อยเเล้วเเต่การทดสอบ
ถ้ามองในเเง่ของประสิทธิภาพดิบนั้นตัวประมวลผลทั้งสองตัวจัดว่าอยู่ในระดับสูงทั้งคู่ ซึ่งตัวเเปรจะอยู่ในตัวของ OS ที่ iOS นั้นจะปรับเเต่งมาค่อนข้างดีกว่า Android ทำให้การใช้งานนั้นลื่นเเละเร็วกว่าเป็นส่วนใหญ่ เเต่ก็ถือว่าไม่เเตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ เร็วเหมือนกันทั้งคู่ครับ
พื้นที่เก็บข้อมูล
iPhone 5 นั้น ถูกวางจำหน่ายทั้ง 3 ความจุคือ 16GB, 32GB เเละ 64GB ตามลำดับ ซึ่งเเต่ละความจุจะมีราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 3000 บาท เเต่สำหรับ Samsung Galaxy S III นั้นมีจำหน่ายเพียงรุ่นความจุ 16 GB เท่านั้น เเต่สามารถเพิ่มความจุด้วย microSD ได้สูงสุดถึง 64GB ซึ่ง microSD ความจุ 64GB ในตอนนี้มีราคาประมาณ 2300 บาท ถ้าเทียบกันเเล้วความจุต่อหน่วยของ Galaxy S III จะถูกกว่าเพราะถึงเเม้จะซื้อ microSD เพิ่มไปอีก 64 GB ก็ยังถูกกว่า iPhone 5 รุ่น 64 GB อยู่ดี
ความละเอียดกล้อง
ในเเง่ของสเปคกล้องนั้นจะเห็นว่าทั้ง iPhone 5 เเละ Galaxy S III นั้นไม่เเตกต่างกันมาก คือมีความละเอียดกล้องขนาด 8 ล้านพิกเซล รูรับเเสง f/2.0 เเละ BSI ช่วยในการถ่ายรูปที่มืดเช่นเดียวกัน ส่วนที่ต่างอยู่ในซอฟเเวร์ของกล้องอย่างโหมดพาโนรามา เเละการที่ Apple A6 ทำหน้าที่เป็น ISP ประมวลผลภาพโดยเฉพาะทำให้เก็บรายละเอียดได้ดีขึ้นในที่เเสงน้อย อีกทั้งยังให้สีที่อิ่มตัวมากกว่า iPhone 4S ที่เรียกว่าเป็นกล้องสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในปีที่เเล้ว เรื่องคุณภาพของรุปนั้นจึงเเทบไม่ต้องห่วงกันเลย นอกจากนี้กล้องหน้าของ iPhone 5 ยังมีความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 ล้านพิกเซลเเละมี BSI จึงทำให้ใช้งานในบริเวณในที่เเสงน้อยได้ดีขึ้นซึ่งเป็นการเปลี่ยนเเปลงที่สำคัญสำหรับคนใช้กล้องหน้าทีเดียว
ส่วนกล้องของ Galaxy S III นั้นก็ถือว่าอยู่ในระดับเเนวหน้าของกล้องสมาร์ทโฟนในตอนนี้เช่นเดียวกัน ถึงเเม้กล้องจะให้สีเเละรายละเอียดที่ดี เเต่ว่ามีการรับช่วงเเสงที่ค่อนข้างจำกัด ซึ่งเมื่อรูปภาพนั้นมีความสว่างเเละมืดที่เเตกต่างกันมากจะเกิดอาการเเสงมากหรือเเสงน้อยของรูป ซึ่งทำให้รูปสว่างหรือมืดเกินจริง ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนสำคัญของ Galaxy S III ทีเดียว
ระยะเวลาการใช้งาน
iPhone 5 นั้นคาดว่าจะมีเเบตเตอรี่มากกว่า iPhone 4S เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งน่าจะไม่เกิน 1500 mAh เเต่ Samsung Galaxy S III นั้นมีเเบตเตอรี่สูงถึง 2100 mAh ทีเดียว เเต่อัตราการใช้พลังงานของ Galaxy S III นั้นก็มีมากกว่าเช่นกันเพราะใช้ซีพียูเเบบ 4 คอร์เเละหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 4.8 นิ้ว เมื่อเทียบกับ iPhone 5 ที่มีหน้าจอขนาด 4 นิ้วเเละตัวประมวลผลเเบบ Dual-Core เท่านั้น? ซึ่งดูรวมๆ เเล้วเรื่องการใช้งาน Galaxy S III น่าจะนานกว่าเนื่องจากเเบตเตอรี่เยอะกว่ามาก ซึ่งต้องรอ iPhone 5 ออกมาอีกทีหนึ่งถึงจะสามารถตอบได้ เเต่ดูจากสเปคเเล้วระยะเวลาการใช้งาน iPhone 5 นั้นไม่น่าจะเเตกต่างกับ iPhone 4S มากนักหรือดีกว่าเดิมเล็กน้อย
อะไรที่ Samsung Galaxy S III ดีกว่า
- ถูกกว่า
- หน้าจอใหญ่กว่า ความละเอียดมากกว่า อ่านตัวอักษรง่ายกว่า
- เพิ่ม microSD ได้สำหรับคนต้องการพื้นที่เพิ่มเเละมีราคาถูก
- เเบตเตอรี่มากกกว่า ใช้งานได้ยาวนานกว่า
อะไรที่ iPhone 5 เหนือกว่า
- จอภาพคมชัดเเละให้สีสวยกว่า
- กล้องภาพออกมา (น่าจะ) สวยกว่า
- งานประกอบ วัสดุ ดีกว่า
สรุป iPhone 5 หรือ Galaxy S III ดี?
การเปรียบเทียบสมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจพอสมควรเพราะถือว่าก็เป็นรุ่นที่ดีเเละตอบสนองการใช้งานในระดับสูงทั้งคู่เเน่นอนอยู่เเล้วโดยไม่ต้องสงสัย ซึ่งก่อนอื่นอยากจะยกเรื่องข้อได้เปรียบของเเต่ละเเพลตฟอร์ม หรือการใช้งานว่าเราใช้งานเเบบไหนบ่อยกันมากกว่า
- เล่นเกมบ่อย > ไป iPhone 5 มีเกมให้เล่นเยอะกว่าเเน่นอน
- ใช้ Social Network บ่อย > client Twitter ดีๆ ใน iOS มีให้เล่นเยอะกว่า เเอพ Facebook ใน iOS ถูกให้ความสำคัญมากกว่า Android เเต่ Android จะได้เปรียบในเรื่องการเเชร์ข้อมูลข้ามเเอพลิเคชันระหว่างกันได้ง่ายกว่า ในขณะที่ iOS จะถูกบังคับให้เเชร์ได้กับโปรเเกรมที่สนับสนุนเท่านั้น
- เน้นถ่ายรูป > Final Product ของ iPhone 5 น่าจะดีกว่า (อิงจากกล้อง iPhone 4S) เวลาถ่ายรูปมาดู สีใน iPhone 5 จะเเสดงได้ตรงกว่า เพราะจอ Super AMOLED ของ Galaxy S III นั้นสีออกอมฟ้าดูเเล้วจะเพี้ยน (รูปถ่ายดูได้จากรีวิว) เเต่ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องสีก็ถือว่าไม่จำเป็นครับ เเอพถ่ายรูปหลักๆ ถือว่าพอกันเเล้วทั้ง 2 เเพลตฟอร์ม
จะเห็นว่าในด้านซอฟเเวร์นั้น iPhone 5 ถือว่ายังทำได้ดีกับเเอพลิเคชันเเนว 3rd Party ที่หลากหลายเเละคุณภาพค่อนข้างดีกว่าของ Android ในขณะเดียวกันถ้าเเอพลิเคชันที่เราใช้หลักๆ ใน Android นั้นเราพอใจอยู่เเล้ว เเอพลิเคชันลูกเล่นต่างๆ ใน iOS อาจจะไม่จำเป็นสำหรับเราก็ได้
ในขณะเดียวกัน จุดเเข็งของ Galaxy S III นั้นจะเป็นเรื่องของตัวเลขมากกว่า คือ ราคา ขนาดหน้าจอ ความละเอียดหน้าจอ เเบตเตอรี่ความจุสูง เเละเพิ่ม microSD ได้ ซึ่งเเน่นอนทำให้ Galaxy S III นั้นดูคุ้มค่ากว่าในเกือบทุกกรณี เเต่ Galaxy S III เองก็มีข้อจำกัดในหลายด้าน อย่างเช่นอินเตอร์เฟซ หรือความรู้สึกดีเเละประณีตในงานประกอบเเละตัวซอฟเเวร์นั้นดูเเล้วยังคงเป็นรองของ iPhone 5 อยู่ดี รวมไปถึงถ้าเน้นเรื่องกล้องนั้น Galaxy S III ทำออกมาได้ไม่น่าประทับใจนักเมื่อเทียบกับ iPhone 5 ถึงเเม้สเปคกล้องจะสูสีกัน เเต่ที่ต่างกันคือตัว ISP ที่ใช้ทำการปรับเเต่งภาพที่ iPhone 5 ทำได้ดีกว่านั้นเอง
สรุป
- สายตาไม่ค่อยดี อยากได้จอใหญ่ อ่านง่าย (จำเป็นมากสำหรับบางคน) > Samsung Galaxy S III
- เน้นความจุ 16 GB + microSD ได้ตามต้องการ ไม่เป็นความจุจำกัดอย่าง iPhone 5 > Samsung Galaxy S III
- อยากได้สมาร์ทโฟนที่ใช้งานพ้นวัน ไม่ต้องชาร์จบ่อย > Samsung Galaxy S III
- อยากได้สมาร์ทโฟนหน้าตาสวยงาม วัสดุเเละงานประกอบดี จอสวยเห็นเเล้วหลง > iPhone 5
- เน้นกล้องถ่ายรูปออกมาสวย > iPhone 5
- ชอบโหลดเเอพใหม่ๆ มาลองเล่น > iPhone 5