[สปอย] สรุปเนื้อหาเเละรายละเอียดของหนังสือชีวประวัติ Steve Jobs เขียนโดย Walter Isaacson

ในตลาดหนังสือนั้น เราเห็นหนังสือเกี่ยวกับ Steve Jobs มากมาย เเต่ก็เป็นเพียงการวิเคราะห์จากมุมมองผู้สังเกตการณ์เสียมากกว่า หนังสือ Steve Jobs ที่เขียนโดย Walter Isaacson เป็นหนังสือที่มีความโดดเด่นตรงที Steve Jobs ติดต่อให้ Walter Isaacson มาเขียนชีวประวัติให้ ดังนั้นเราจะเห็นมุมมองต่างๆ ที่มาจากตัว Steve Jobs โดยตรงที่ไม่ได้ผ่านกรอบมุมมองของคนอื่นอย่างเล่มอื่นๆ ที่ผ่านมา

หนังสือเล่มนี้ เล่มที่เเอดมินซื้อมาคือวันที่ 24 ตุลาคม ซึ่งสามารถหาซื้อได้ที่ Asiabook ทุกสาขา ราคาเต็ม 950 (เเอดมินซื้อที่สยามพารากอน เเต่เห็นที่สยามดิสเช่นกัน) หนังสือเล่มนี้ยังไม่มีเเปลไทย เเต่เเอดมินเชื่อว่า 99.99% เดี๋ยวต้องตามมาเเน่นอน

รายละเอียดของหนังสือ

  • เป็นหนังสือปกเเข็งจำนวน 630 หน้า
  • หน้าปกเป็นสตีฟจ็อบส์ตอนก่อนเสียชีวิต ด้านหลังเป็นรูปที่ยังเอ๊าะๆ อยู่
  • บริเวณกลางเล่มพิมพ์ด้วนกระดาษอาร์ตอย่างดี เป็นรูปที่ถ่ายโดย Diana Walker ที่เป็นช่างภาพที่ Stebe Jobs อนุญาติให้มาถ่ายส่วนตัวได้ รูปภาพประมาณนี้ http://lightbox.time.com/2011/10/06/in-a-private-light-diana-walkers-photos-of-steve-jobs/#2 เเต่หนังสือในเล่มเป็นรูปที่ Diana คัดมา
  • หนังสือมี 42 บท
  • เเต่ละบทเรียงตามลำดับเวลา เเต่อ่านข้ามไปก็ได้

 

สรุปเนื้อหาของเเต่ละบท

Chapter 36 ? The iPhone

  • ในปี 2005 ยอดขาย iPod นับเป็น 45% จากรายได้ทั้งหมดของ Apple
  • Jobs รู้สึกเป็นห่วงกับสถานการณ์ในตอนนั้นมาก ถึงเเม้ว่า iPod จะไปได้สวยก็ตาม เพราะ Jobs เห็นว่าโทรศัพท์เป็นคู่เเข่งที่น่ากลัว อย่างตลาดกล้องคอมเเพคที่เสียหายยับเยินจากการมาของโทรศัพท์ที่มีกล้องติดมาด้วย สิ่งเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นกับ iPod เช่นกัน ถ้าผู้ผลิตใส่โปรเเกรมเล่นเพลงเข้าไปข้างในโทรศัพท์
  • การตัดสินใจครั้งเเรกของ Apple คือร่วมมือกับ Motorola (CEO ในตอนนั้นคือ Ed Zander) โดยการนำโทรศัพท์ฝาพับที่ได้รับความนิยมอย่าง MOTO RAZR ที่มีกล้องดิจิตอลอยู่ข้างหลังด้วยนำมาใส่ฟังชั่นของ iPod ด้วย โดยออกมาเป็น MOTO ROKR โดย Apple มองว่าโทรศัพท์นั้นน่าเกลียดมาก ไม่ได้นำข้อดีของเเต่ละอย่างมาเลย ทั้งความบางของ RAZR หรือดูเป็น minimal อย่าง iPod เเถมยังใส่ได้อีกเเค่ 100 เพลง เป็นเพราะว่าฟีเจอร์ของโทรศัพท์นั้นมาจากการต่อรองกันระหว่าง Apple, Motorola, เเละผู้ให้บริการโทรศัพท์ ซึ่งขัดกับเเนวทางของ Apple ควบคุมฮาร์ดเเวร์ ซอฟเเวร์ เเละเนื้อหาทั้งหมดเอง Jobs หัวเสียมากถึงกับบอกว่า ?เบื่อที่จะทำงานกับบริษัทโง่ๆ อย่าง Motorola เเล้ว? (รุ่นโทรศัพท์ที่กล่าวมาคือ Motorola ROKR E1 เพียงรุ่นเดียว รุ่นสองนั้นเปลี่ยนไปใช้ Real Player เเล้ว)
  • จากความไม่พอใจนั้นเอง ทำให้ Apple เริ่มพิจารณาทำโทรศัพท์ของตัวเอง นอกจากนี้เเล้วตลาดมือถือน่าเข้าไปเพราะเป็นตลาดที่ใหญ่มาก
  • คอนเซ็ปเเรกของ iPhone นั้นยังเป็น Click Wheel เเบบ iPod เเต่มีปัญหาในการใช้งานมากโดยเฉพาะเวลากดเบอร์โทร
  • ในช่วงเวลาเดียวกัน (ปี 2005) Apple มีโครงการพัฒนาเเท็บเล็ตที่ใช้การควบคุมเเบบ Multi Touch มาก่อนอยู่เเล้ว เเต่ว่าโครงการหยุดไปเสียก่อนเนื่องจากนำทรัพยากรมาทำ iPhone มากกว่า โดย iPhone เป็นตัวพิสูจน์คอนเซ็ปว่าการใช้งานเเบบ Multi Gesture สามารถใช้งานได้จริง จากนั้นถึงไปใช้บน iPad ก็ยังไม่สาย

 

  • Apple เเละ Microsoft มีวิสัยทัศในเรื่องเเท็บเล็ตเหมือนกัน เเต่ไมโครซอฟต์มองว่าต้องใช้สไตลัส เเต่ Jobs มองว่าใช้เเค่ทัชสกรีนนี่เเหละ
  • Jonathan Ive บอกว่าเทคโนโลยีมัลติทัช Apple พัฒนามานานมากเเล้ว เเต่ตัวต้นเเบบยังไม่ดีพอที่จะใช้จริงได้ มีการทดลองอย่างลับๆ ไม่ให้ Jobs เห็นเป็นเวลานานเพราะกลัวว่า Jobs จะวิจารณ์จนคนคิดเลิกทำไปเลยก็ได้ จนกระทั่ง Ive ตัดสินในเสนอให้ Jobs ดูเป็นการส่วนตัว เเละ Jobs ก็ชอบมันมาก ช่วงนั้น iPhone ยังมีปัญหาเรื่องการป้อนคำสั่งอย่างที่กล่าวไป Jobs ตัดสินใจที่จะลองมัลติทัชบน iPhone ก่อน
  • ช่วงนั้น iPod ได้ถูกพัฒนาเป็นสองรุ่นคือ P1 สำหรับการใช้งานด้วย Click Wheel ส่วน P2 ก็คือจอสัมผัสนั่นเอง หลังจากทดสอบไปหกเดือน Jobs เลือกที่จะเดิมพันกับจอสัมผัสมากกว่าถึงเเม้ว่าอาจจะเสี่ยงมากกว่าที่จะไม่ได้ยอมรับจากตลาด การตัดสินใจตรงนี้มาจากความรู้สึกล้วนๆ
  • ตอนนั้น Apple ยังไม่มีสิทธิบัตรเกี่ยวกับมัลติทัชเลย เเละได้ซื้อบริษัท Fingerworks ที่พัฒนาเรื่องดังกล่าวไปเงียบๆ สาเหตุหลักเพื่อเอาสิทธิบัตรเเละเทคโนโลยีการวิจัย
  • ในทีมมีการถกเถียงกันว่าควรจะมี Physical Keyboard ติดมากับเครื่องโดยยกตัวอย่างจาก BlackBerry เเต่ Jobs ไม่เห็นด้วยเพราะเห็นว่าคีย์บอร์ดเเบบทัชสกรีนนั้นสามารถพัฒนาเเละตอบสนองกิจกรรมได้หลากหลายกว่า เช่นปุ่มตัวเลขขึ้นมาเวลาโทรศัพท์ หรือคีย์บอร์ดเมื่อต้องการพิมพ์ตัวอักษร การใส่ Hardware Keyboard นั้นทำได้ง่ายเเต่มีข้อจำกัดมาก
  • Jobs เคยบอกว่าไม่ชอบปุ่มเปิดปิดของเครื่อง โดยวิธีเปิดเครื่องจะใช้วิธีการลากนิ้วเท่านั้น (Swype)

 

  • ตอนเเรก iPhone จอส่วนหน้าทำจากพลาสติก เเต่ Jobs บอกว่าต้องการใช้กระจกเพราะจะดูดีกว่า อีกทั้งยังต้องการกระจกที่กันรอยได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
  • Jobs ได้รู้จักกับบริษัท Corning ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระจก Gorilla Glass เเต่ตอนนั้นยังไม่มีตลาดสำหรับกระจกนี้ จนกระทั่ง Jobs บอกว่าต้องการกระจกชนิดนี้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
  • Corning ผลิตไม่ได้ เพราะโรงงานไปผลิตชิ้นส่วนอื่นๆ หมด (อย่างที่บอกว่าว่าตอนเเรกไม่มีใครสั่งผลิต Gorilla Glass เลย) เเต่ Jobs มองไปที่ CEO ของ Coring เเละบอกว่า ?คุณทำได้? จากนั้นโรงงานก็เปลี่ยนมาผลิตกระจกตามที่ Jobs ต้องการ #Reality Distortion Field
  • iPhone 4 นั้นเคยถูกเปลี่ยนการออกเเบบในช่วงสุดท้าย เหตุผลเพียงเพราะว่า Jobs ไม่ชอบ ทำให้พนักงานต้องทำงานตอนเย็นเเละช่วงวันหยุดจริง เเต่คนในทีมก็เห็นด้วยกับการเปลี่ยนด้านดีไซน์ภายนอกของตัวเครื่อง สาเหตุเป็นเพราะว่า Jobs ต้องการให้เครื่องนั้นเห็นเเค่เพียงหน้าจออย่างเดียวเท่านั้น (ดีไซน์เก่าตามในหนังสือคือเหมือน iPhone ใส่เคสอลูมิเนียม เเต่ iPhone ที่เราเห็นนั้นเป็นขอบอลูมิเนียมเลย)
  • นิตยสาร Times ได้เขียนถึง iPhone ว่าไม่ได้ทำฟีเจอร์อะไรใหม่ขึ้นมา เเต่ทำให้ฟีเจอร์ต่างๆ ใช้งานได้ง่ายขึ้น
  • การพรีเซนท์ของ iPhone นั้น Jobs ให้ความสำคัญมาก โดยมีทีมงานงานสมัยที่เปิดตัว Macintosh ในปี 1984 อย่าง Andy Hertzfeld, Bill Atkinson, Steve Wozniak โดยมอง่า iPhone เป็นการปฏิวัติอย่างที่ Macintosh ทำในยุคนั้นมาเเล้ว
  • คีย์โน้ตของ Jobs ที่พรีเซนท์ iPhone ถือเป็นหนึ่งในคีย์โน้ตที่ดีที่สุดตั้งเเต่ Jobs พรีเซนท์มา

Every once in a while a revolutionary product coms along that changes everythings. Macintosh which changed the whole computer industry. The First iPod which changed the entire music industry. Today we?re introducing three revolutionary products of this class, The first one is a widescreen iPod with touch controls. The second is a revolutionary mobile phone. And a third is a breakthrough Internet communications device. Are you getting it? These are not three separate devices, this is one devices, this is one device, and we are calling it iPhone

 

Chapter 38 ? The iPad

  • โครงการเเท็บเล็ตถูกพัฒนาอย่างจริงจังในปี 2007 โดยเข้ามาตีตลาดเน็ตบุคตรง โดยในที่ประชุม Ive บอกว่าฮาร์ดเเวร์คีย์บอร์ดไม่จำเป็นต้องมีเพราะมันเทอะทะเเละไม่สวย โดยเห็นว่าใช้ทัชสกรีนคีย์บอร์ดเเละมัลติทัชในการใช้งานน่าจะดีกว่า ซึ่ง Jobs ก็เห็นด้วย
  • ขนาดของ iPad นั้นทีมออกเเบบใช้วิธี Blind Test โดยทำตัวอย่างหลายๆ เเบบเเละคลุมผ้าไว้ เเล้วทดลองจับว่าขนาดไหนเหมาะสมกับการถือมากที่สุด
  • Jobs ยังคงเห็นว่าส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือหน้าจอเพราะใช้งานด้วยทัชสกรีนเป็นหลัก ดังนั้นควรจะมีปุ่มให้น้อยที่สุด ดังนั้น iPad เเละ iPhone จึงมีคอนเซ็ปการออกเเบบที่คล้ายกัน
  • ดีไซน์ของ iPad ถูกจดสิทธิบัตรหมายเลข D504889 ไว้เมื่อปี 2004 รายละเอียดหลักๆ คือเป็นเเท็บเล็ตทรงสี่เหลี่ยมที่มีชอบมน เเละมีรูปคนที่ถือไว้ด้วยมือซ้ายเเละใช้มือขวาใช้งานบนจออยู่ http://www.patentgenius.com/patent/D504889.html
  • iPad ตอนเเรกนั้น Apple พัฒนาร่วมกับ Intel โดยวางเเผนไว้ว่าจะใช้ชิป Atom ซึ่ง Jobs ก็ไว้ใจ Intel? เพราะว่าเป็นบริษัทที่ทำประมวลผลได้เร็วที่สุดในโลก เเต่ปรากฏว่ามีปัญหาเรื่องการใช้พลังงานอย่างมาก
  • Tony Fadell เป็นคนเสนอให้ iPad ใช้ตัวประมวลผลจาก ARM ที่ใช้พลังงานน้อยกว่า ในขณะนั้นที่ Jobs ยังคงเชื่อใน Intel อยู่ Fadell ได้หาเสียงสนับสนุนจากวิศวกรเพื่อเสนอให้ Jobs เปลี่ยนใจจาก Intel ถึงกับใช้ตำเเหน่งของตัวเองเป็นเดิมพัน จนกระทั่ง Jobs ยอมฟังคำอธิบายของ Fadell
  • สุดท้ายเเล้ว Apple ได้ซื้อใบอนุญาตจาก ARM เเละพนักงานออกเเบบตัวประมวลผลอีก 150 คนเพื่อมาออกเเบบ Apple A4
  • Jobs บอกว่าเขาพยายามช่วย Intel เเล้วเเต่พวกเขาไม่ค่อยฟัง เราบอกเขาเเล้วว่าตัวประมวลผลกราฟฟิคเขามันห่วย ในตอนต้นๆ นั้นดูเหมือนว่าเราจะไปด้วยกันได้ดี ตอนเเรกนั้นเราถึงกับอยากให้เขาทำชิปให้ iPhone ด้วยซ้ำไป เเต่มีสองเหตุผลหลักที่เราไม่เลือกเขา อย่างเเรกคือพวกเขาทำอะไรไม่ยืดหยุ่นเเละช้ามาก อย่างที่สองคือเราไม่อยากสอนอะไรเขาหมดทุกอย่าง ซึ่งพวกเขาอาจจะนำมันไปขายให้คู่เเข่งได้ (Apple ซื้อใบอนุญาติจาก ARM เพื่อมาผลิตตัวประมวลผลเอง ในขณะที่ Intel นั้นเพียงเเต่ซื้อชิปของ Intel เท่านั้น)

 

  • ในคีย์โน้ตเขาบอกเสนอ iPad ว่าคือความเป็นไปได้ระหว่างโน้ตบุคเเละ iPhone โดยเขาบอกว่า Netbook นั้นไม่ได้มีอะไรดีเลย เเต่เรามีสิ่งที่ดีกว่าที่เรียกว่า iPad
  • iPad ในตอนเเรกนั้นถูกตั้งข้อสงสัยมากว่าเป็นเพียง iPhone ที่ขยายขนาดมาเท่านั้น เเต่คนที่ได้ลองจับปรากฏว่าชอบมันทุกคน
  • เสียงตอบรับจาก iPad หลังเปิดตัวไม่ดีนัก Jobs ได้อีเมล์หลังจากการเปิดตัวถึงข้อเสียหลายอย่างจากผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นสาย USB, ไม่ชอบชื่อที่เรียกสินค้าว่า iPad เเต่มีคนหนึ่งทีโทรศัพท์มาเเสดงความชื่นชมคือ Rahm Emanuel ซึ่งดำรงตำเเหน่งหัวหน้าพนักงานของประธานาธิบดี Barrack Obama
  • นิตยสาร Times บอกว่า iPad เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ที่เน้นในการเสพย์หรือควบคุมคอนเทนท์ จากเดิมที่ผลิตภัณฑ์หลายตัวเน้นที่การสร้างคอนเทนท์มากกว่า (อย่างเช่นการตัดฮาร์ดเเวร์คีย์บอร์ดที่เทอะทะออกไป หน้าจอที่ใหญ่ทำให้ดูเนื้อหาได้มากขึ้น)
  • Newsweek ให้ความเห็นว่า Jobs เก่งมากกับการสร้างในสิ่งที่เราคิดไม่ถึงว่าเราต้องการออกมา บางทีระบบปิดอาจจะเป็นหนทางเดียวที่เราจะสามารถรับประสบการณ์อันเยี่ยมยอดอย่างบน iPad ได้
  • Steve Wozniak เคยเป็นหัวเรี่ยวหัวเเรงว่าให้ Apple เปิดระบบฮาร์ดเเวร์เเละซอฟเเวร์มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เค้าเคยให้ความเห็นเกี่ยวกับระบบปิดว่า ?สิ่งที่ Apple ทำเหมือนกับการให้คนเล่นอยู่ในสนามเด็กเล่น ซึงมีข้อได้เปรียบสำหรับมันอยู่เหมือนกัน เขาชอบระบบปิด ในขณะที่คนส่วนใหญ่ชอบของที่ใช้งานได้ง่าย
  • ในปี 2007 Jobs ไม่เห็นด้วยกับการรับเเอพจากนักพัฒนาภายนอก เพราะเเอพจากภายนอกจะจะมีไวรัสหรือการออกเเบบไม่เข้ากันกับ iOS เเต่สมาชิกในคณะกรรมการของ Apple บอกว่าถ้าไม่ทำ คู่เเข่งก็ทำอยู่ดี
  • ที่ Jobs ไม่เห็นด้วยเพราะเขาติดว่าคนในทีมไม่เข้าใจถึงความซับซ้อนในการกำหนดนโยบายเพื่อรับเเอพจากนักพัฒนาภายนอก เเต่หลังจาก iPhone วางจำหน่ายไปเเล้ว Jobs ก็เริ่มรับฟังเเนวคิดเรื่องการรับเเอพจากนักพัฒนาภายนอกมากขึ้น นั่นหมายความว่าตอนเเรกนั้น iPhone จะไม่รองรับเเอพจากภายนอกเลยยกเว้น Apple
  • ทางออกสุดท้ายคือ Jobs ยอมให้นักพัฒนาภายนอกทำเเอพส่งมาได้ เเต่ต้องผ่านมาตรฐานเเละการตรวจสอบของ Apple เเละขายผ่าน iTunes Store เท่านั้น
  • ในปี 2010 มีเเอพกว่า 25,000 เเอพที่พัฒนามาเฉพาะบน iPad

 

  • ด้วย iPod ทำให้ Jobs สามารถเปลี่ยนรูปเเบบอุตสาหกรรมเพลง เเต่ด้วย iPad เเละ Appstore นั้น Jobs สามารถเปลี่ยนสื่อทั้งหมดได้ ตั้งเเต่สิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ หรือภาพยนตร์ก็ตาม
  • Apple พยายามรุกเข้าสู่ตลาดหนังสือออนไลน์ที่ Amazon ทำอยู่ โดยใช้โมเดลเเบบ Agency กินส่วนเเบ่ง 30% จากยอดขาย เเละไม่ได้กำหนดราคาเพดานเอาไว้ เพื่อให้ผู้ขายได้กำหนดราคาได้อย่างอิสระ (Amazon กำหนดราคาไว้สูงสุดว่าเทสได้ไม่เกิน 9.99 ดอลลลาร์สหรัฐ) ตรงนี้เหมือนกับ Jobs พยายามดึงดูดสำนักพิมพ์ให้มาลงของ Appstore มากขึ้นเนื่องจากได้กำไรเยอะกว่าของ Amazon
  • เเต่ว่าสำหรับตลาดเพลงนั้น Jobs กลับกำหนดเพดานราคาไว้เหมือน Amazon โดย Jobs ตอบว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำเเบบนั้นกับตลาดเพลง เขาบอกว่าที่เขาต้องทำในตลาดหนังสือเพราะเขาไม่ใช่ผู้เล่นรายเเรก
  • Jobs บอกว่าเขาได้เสนอทางเลือกให้กับธุรกิจหนังสือพิมพ์ ที่ไปติดต่อด้วยมี Wall Street Journal, New Your Times, Time เเละ Fortune โดยเขาคิดว่าจะทำให้หนังสือพิมพ์ขายได้เหมือนกับเพลง
  • ผู้จัดพิมพ์ไม่ค่อยพอใจนักที่ต้องเเบ่งส่วนเเบ่งให้กับ Apple เเต่สิ่งที่ไม่พอใจมากกว่าคือข้อมูลของลูกค้าที่เขาจะไม่ได้เลย เช่น อีเมล์ ข้อมูลบัตรเครดิต สำนักพิมพ์ไม่สามารถเก็บเงินผู้อ่านได้โดยตรง เนื่องจาก Apple จะเก็บข้อมูลของลูกค้าไว้ทั้งหมดถ้าขายหนังสือพิมพ์ผ่าน Appstore ถึงเเม้สำนักพิมพ์จะต่อรองขอข้อมูลจาก Jobs เเล้วก็ตามเเต่ Jobs ไม่ยอม

 

Trivia

  • Diana Walker บอกว่า Jobs เป็นคนที่ Perfectionist มาจนไม่สามารถเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกใจได้ ผลที่ออกมาในรูปปี 1982 ห้องของจ็อบส์เลยไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆ เลยดังรูป

Image 1

  • Jobs เคยบอกว่าเขาไม่สนใจการวิจัยตลาด เพราะว่าลูกค้าไม่เคยรู้ว่าเขาต้องการอะไรจนกว่าเราจะโชว์ของให้เค้าดู

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก