เทคโนโลยีของสาย Lightning ที่มาพร้อมกับ iPhone 5, iPod Touch 5th Generation และ iPod Nano 7th Generation ที่เห็นได้ชัดก็เช่น ความสามารถในการใช้งานได้ทั้งสองด้าน ทำให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น แต่เชื่อได้ว่ามันยังไม่ใช่ทั้งหมดที่มีอยู่ในสายนี้แน่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการค้นพบความจริงบางส่วนของสาย Lightning เพิ่มเติม นั่นคือเรื่องของพินภายใน
โดยสาย Lightning เป็นสายที่มีพินเชื่อมต่อเพียงด้านละ 8 พินเท่านั้น จากสายเดิมๆ ที่มีกว่า 30 พิน ซึ่งจากการค้นคว้าและเก็บข้อมูลของ Rainer Brockerhoff ทำให้ค้นพบข้อมูลหลายๆ ข้อ ดังนี้
- ตัวอุปกรณ์ (เช่น iPhone) จะใช้การตรวจจับจากปลายหัวปลั๊กก่อนว่ามีปลั๊กเสียบเข้ามาหรือไม่
- จะไม่มีการรับส่งข้อมูลหรือสัญญาณไฟฟ้าใดๆ ทั้งสิ้น จนกว่าปลั๊กจะถูกเสียบเข้ากับอุปกรณ์อย่างสมบูรณ์ เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมา
- ชิปควบคุม Lightning มีหน้าที่หนึ่งคือเป็นตัวบอกอุปกรณ์ที่ใช้งานอยู่ว่าตัวเองนั้นคืออะไร ตัวอุปกรณ์จะได้สามารถสั่งการได้ถูก
- อุปกรณ์ที่ใช้งานสายสามารถสั่งการหน้าที่พิเศษให้กับพินบนตัวปลั๊กได้ เช่นสมมติว่าอาจสั่งให้พินที่ 3 เปลี่ยนหน้าที่จากจ่ายไฟมาเป็นโอนถ่ายข้อมูลได้ ในกรณีที่มีความจำเป็นจริงๆ
- เมื่อสายเสียบเข้าพอร์ตเรียบร้อยจนพร้อมสำหรับการทำงานแล้ว จะมีการเข้ารหัสข้อมูลจากต้นทางให้เป็นฟอร์แมตที่ต่างจากเดิม เช่นอาจเพิ่ม noise เข้าไปในสัญญาณ เมื่อส่งสัญญาณไปถึงปลายทางแล้วก็จะทำการถอดรหัสอีกครั้ง ซึ่งในส่วนนี้ดูเหมือนว่าจะมีความยืดหยุ่นในการใช้งานพอสมควร อาจถึงขั้นเปลี่ยนไปใช้งานเป็นแบบใช้แสงในการรับส่งข้อมูลแบบ Fiber Optic ได้เลย
ส่วนในตัวของพินที่ปลั๊ก Lightning นั้น พบว่าภายในมีการจัดเรียงให้สายภายในมีการไขว้กัน เช่น ให้พินที่ 4 ของสายบนไข้วไปเชื่อมกับพินที่ 1 ของสายล่าง พินที่ 5 ของสายบนไปเชื่อมกับพินที่ 4 ของสายล่าง เป็นต้น ซึ่งในขณะนี้ก็ยังไม่แน่ชัดว่าจุดประสงค์ที่ Apple ออกแบบมาให้มีการสลับไขว้พินภายในคืออะไร แต่ที่ดูเป็นไปได้มากที่สุดก็คือเรื่องการจำกัดการสร้างสายและอุปกรณ์ลอกเลียนแบบจากผู้ผลิตรายย่อยต่างๆ มากกว่า แถมนอกจากเทคโนโลยีการไขว้พินแล้ว ยังมีส่วนการทำงานที่สามารถปรับเปลี่ยนหน้าที่การทำงานของแต่ละพินได้อีก ทำให้คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ผู้ผลิตรายอื่นๆ จะสามารถลอกเลียนแบบการทำงานได้สมบูรณ์แบบ
และที่น่าสนใจก็คือ เป็นไปได้ว่า Apple อาจจะแอบซ่อนฟีเจอร์เพิ่มเติมเพื่อรองรับการทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ เอาไว้อีกก็เป็นได้
ที่มา : Mac Rumors