เทียบตัวต่อตัว Jawbone UP24 กับ Fitbit Flex สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพสำหรับคนยุคใหม่

20140703_113437

ปัจจุบัน เป็นยุคเติบโตของเทรนด์การใช้งานอุปกรณ์เสริมร่วมกับการออกกำลังกาย เพื่อช่วยตรวจจับว่าเราทำไปได้เท่าไรแล้ว กิจกรรมในระหว่างเราเป็นอย่างไร เผาผลาญแคลอรี่ไปเท่าไร ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถรับรู้สมรรถภาพของตนเองไปพร้อมๆ กับจะได้วางแผนการออกกำลังกายได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น ทำให้อุปกรณ์ในกลุ่มนี้ได้รับความนิยมและมีความหลากหลายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ?ทั้งยังสามารถใช้งานได้สะดวกอีกด้วย เพราะมันสามารถทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนแพลตฟอร์มหลักๆ ในปัจจุบันได้ ซึ่งผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ตัวที่ได้รับความนิยมก็คือ?Jawbone UP24?และ Fitbit Flex นั่นเอง ในบทความนี้เราจะมาเทียบกันในฟีเจอร์หลักๆ ระหว่างสองตัวนี้ครับว่ามีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันอย่างไร

20140703_113517

เทียบกันที่หน้าตาก่อนเลย ตัวของ Jawbone UP24 จะใช้เป็นสายรัดเส้นเดียวตลอดทั้งชิ้น โครงสร้างแข็งแรง ไม่น่าจะหักได้ง่าย มีปุ่มกดเพื่อสั่งงานอยู่ที่ปลายสาย ส่วนปลายสายอีกข้างจะมีแจ็คขนาด 2.5 มิลลิเมตรสำหรับใช้ชาร์จไฟอยู่ (ต้องใช้สายแปลงจาก 2.5 เป็น USB ในการชาร์จ) โดยตอนเลือกซื้อจะต้องเลือกซื้อตามขนาดที่มีให้เลือกได้แก่ S, M หรือ L ไม่สามารถปรับขนาดภายหลังได้ สำหรับใครต้องการอ่านรีวิว Jawbone UP24 ฉบับเต็ม สามารถเข้าไปอ่านกันต่อได้ที่นี่ครับ ราคาค่าตัวอยู่ที่ $149.99 ราคาในไทยก็อยู่ที่ราวๆ 6,290 บาท แต่ถ้าหากอยากได้รุ่นที่ฟีเจอร์เหมือนๆ กัน แต่ราคาย่อมเยากว่า ก็จะมีตัวเลือกเป็น Jawbone UP รุ่นแรกที่มีราคาอยู่ที่ 4,990 บาท (ล่าสุดมีโปรโมชัน ลดราคาเหลือแค่ 3,590 บาท เท่านั้น !!) โดยจุดต่างกันก็อยู่ที่ UP ตัวแรกจะใช้การซิงค์ข้อมูลผ่านช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ไม่รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth เหมือน UP24 อ้อ! ราคานี้จะมีถึงแค่ช่วงปลายเดือนกันยายนเท่านั้นนะครับ ซื้อหากันได้ที่ร้าน?iStudio, .life, iBeat, Jaymart, Power Buy, Ari, Gizman, Health Choice หรือ True Shop ได้เลย

ส่วน Fitbit Flex จะมีจุดเด่นตรงที่มีหน้าจอเล็กๆ อยู่บนตัวสายด้วย ซึ่งหน้าจอนี้จะแสดงได้แค่จุดวงกลมเล็กๆ เท่านั้น การแสดงผลหลักๆ ก็จะเป็นการแสดงจำนวนก้าวเดินเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์จากเป้าหมายที่เราตั้งไว้ เช่นถ้าเราเดินได้ 4,023 ก้าว ไฟก็จะขึ้นสองดวง ดวงที่สามจะกระพริบ รวมถึงใช้ในการแจ้งเตือนได้ด้วย ส่วนการสั่งงานจะมีรูปแบบเดียวคือการเคาะสองครั้งที่ตัวเซ็นเซอร์ (อยู่ใต้หน้าจอลงมาเล็กน้อย) เพื่อแสดงจำนวนก้าวเดินเมื่อเทียบกับเป้าหมายอย่างที่กล่าวไปแล้ว สำหรับแพ็คเกจที่วางจำหน่ายจะมีสายให้มาสองขนาดมาในกล่องเลย ราคาอยู่ที่ $99.95 (ในไทยอยู่ที่ 3,990 บาท)ซึ่งถือว่าถูกกว่า Jawbone UP24 พอสมควร

20140703_113548

ตัวของ Fitbit Flex จริงๆ แล้วมีแค่นี้เองครับ เป็นตัวเซ็นเซอร์เก็บข้อมูล หน้าจอและแบตเตอรี่ในตัวเลย การใช้งานก็ให้เสียบตัวนี้เข้าไปในสายที่ให้มาในกล่อง สำหรับการชาร์จแบตจะใช้อะแดปเตอร์เฉพาะ แบตเตอรี่อยู่ได้นานเป็นสัปดาห์เหมือนกับ Jawbone UP24 โดยตารางด้านล่างนี้เป็นตารางสรุปคุณสมบัติและความแตกต่างคร่าวๆ ของ Jawbone UP24 กับ Fitbit Flex นะครับ

Screen Shot 2014-07-07 at 2.28.54 PM

โดยรวมๆ แล้ว ความสะดวกในการใช้งานของทั้ง Jawbone UP24 และ Fitbit Flex จะแตกต่างกันไปครับ ตัว UP24 จะสะดวกในเรื่องการเพิ่มข้อมูล เช่น ข้อมูลอาหาร การสร้างกลุ่มเพื่อนที่ออกกำลังด้วยกัน เพราะแอพพลิเคชันที่ใช้งานร่วมกันอย่าง UP by Jawbone ทำในส่วนนี้ออกมาได้ดี สามารถเพิ่มข้อมูลอาหารเข้าไปได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาจากฐานข้อมูลที่มีอยู่แล้ว การสแกนบาร์โค้ด แถมยังสามารถกรอกข้อมูลเองได้ ถ่ายรูปประกอบเมนูได้ ฐานข้อมูลอาหารก็มีค่อนข้างหลากหลาย (แต่ในไทยยังน้อยอยู่) ซึ่งในส่วนของอาหารก็จัดเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการออกกำลังกาย การลดน้ำหนักมากทีเดียว ความสะดวกในส่วนนี้ก็นับเป็นหนึ่งในจุดที่ต้องใส่ใจครับ และ Jawbone ก็ทำออกมาได้ดีเลย

ส่วนของ Fitbit Flex นั้น จะเน้นความสะดวกในการใช้งานทั่วๆ ไป เช่นการมีหน้าจอแสดงผลเล็กๆ เพื่อแสดงความคืบหน้า (progress) ของจำนวนก้าวเดินและระยะเวลาการนอนเป็นหลัก การเปิดแอพก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่นำตัวเซ็นเซอร์ของ Fitbit Flex ไปไว้ใกล้ๆ จุดที่มี NFC ของมือถือที่เราใช้งานอยู่ ตัวแอพก็จะเปิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติแล้ว รวมถึงยังสามารถซิงค์ข้อมูลไปดูบนคอมพิวเตอร์ได้อัตโนมัติอีกด้วย แต่ในเรื่องของฟีเจอร์การเพิ่มข้อมูลอาหารยังไม่สะดวกเท่า Jawbone เพราะฐานข้อมูลมีค่อนข้างน้อย การเพิ่มข้อมูลก็ไม่ค่อยยืดหยุ่นเท่า ส่วนการเพิ่มเพื่อน สร้างกลุ่มเพื่อนก็ทำได้ใกล้เคียงกัน ?แต่ตัว?Jawbone จะทำได้มากกว่า เพราะสามารถเข้าไปดูข้อมูลอย่างละเอียดของเพื่อนแต่ละคนได้เลย

1

ทีนี้เรามาดูหน้าตาของตัวแอพพลิเคชันหลักที่ใช้งานร่วมกับทั้งสองกันบ้างครับ ทางซ้ายจะเป็นแอพสำหรับ Jawbone UP24 ส่วนทางขวาเป็นของ Fitbit Flex ซึ่งจะมีข้อดีแตกต่างกันไป แอพของ Jawbone จะเน้นสีสัน ดูมีลูกเล่น เน้นการแสดงผล feed ข้อมูลของเราและของเพื่อนในกลุ่มเดียวกันเป็นหลัก มีสรุปจำนวนก้าวเดิน ระยะเวลาในการนอนและแคลอรี่เอาไว้ในรูปแบบกราฟแท่งของแต่ละวัน ซึ่งก็ดูง่ายดี เพราะมีข้อมูลเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ถ้าอยากดูข้อมูลฉบับเต็มก็ค่อยแตะเข้าไปดูในแต่ละส่วนเอง อารมณ์จะเหมือนว่ากำลังเล่น social network อยู่ซะมากกว่า

ส่วนหน้าแรกของ Fitbit จะเป็นการแสดงข้อมูลทั้งหมดเอาไว้เลย โดยมีการจัดเรียงที่ดูเรียบง่าย อ่านเข้าใจง่าย ดูหน้าเดียวก็ได้ข้อมูลที่จำเป็นครบเลย เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากเปิดดูนู่นนี่นั่นมากมาย หน้าเดียวบอกหมด

2

มาพูดถึงความแม่นยำกันบ้าง ซึ่งอาจจะไม่สามารถบอกได้ว่าตัวไหนแม่นยำ 100% (เพราะก็ไม่เป๊ะทั้งคู่) แต่ก็จะใช้การเทียบกับอุปกรณ์อื่นดูนะครับ โดยเป็นการนำมาเทียบกับแอพ LG Health ที่มีใน LG G3 ซึ่งเป็นมือถือรุ่นที่มีเซ็นเซอร์นับก้าวเดินติดตั้งมาให้ในตัว ผลออกมาก็คือจำนวนก้าวเดินที่นับได้ของ Jawbone UP24 กับ LG Health ออกมาใกล้เคียงกัน จะมี Fitbit ที่นับก้าวได้มากกว่าร่วม 100 ก้าวเลย แต่ระยะทางที่ได้ดันออกมาเท่ากันคือ 1.13 กิโลเมตร ซึ่งเท่าที่ลองดูหลายๆ วัน แนวโน้มก็เป็น Jawbone UP24 ที่ตรงกับแอพอื่นๆ มากกว่า ส่วนจำนวนก้าวเดินของ Fitbit Flex จะมากกว่าแอพอื่นทุกวันเลย และมักจะมากกว่าเป็นหลักร้อยเลย

3

สำหรับการวัดการนอนหลับ ก็ทำออกมาได้ใกล้เคียงกัน แต่สังเกตว่ากราฟของ Fitbit ออกแบบมาได้ไม่ค่อยดีเท่าไร ดูข้อมูลได้ยาก ต่างจาก Jawbone ที่ทำออกมาเข้าใจง่ายกว่ากันมาก มีบอกสถิติแบบละเอียดว่าตื่นกี่ครั้ง หลับลึกนานขนาดไหน ซึ่งถ้าจะดูข้อมูลแบบละเอียดๆ จาก Fitbit จะต้องเข้าไปดูที่หน้า dashboard ของเราบนเว็บไซต์ Fitbit จุดนี้นับว่า Jawbone ทำได้ดีกว่ามาก เพราะทุกอย่างทำได้จบในแอพพลิเคชันเลย

10519245_779814732062635_1464291259_n

ส่วนที่ลองเทียบกันอีกรอบ คราวนี้พบว่า FitBit นับเวลาการนอนจริงๆ ได้เยอะเกินความเป็นจริงไปพอสมควรเลย ทั้งที่จริงแล้วมีช่วงเวลานอนหลับจริงๆ แค่ประมาณครึ่งหนึ่งของช่วงที่นอนเท่านั้นเอง

จากเท่าที่ลองใช้งานมาทั้งสองตัว ต้องบอกว่าทั้ง Jawbone UP24 และ Fitbit Flex ก็มีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกันไปครับ ที่เห็นชัดสุดก็ตามนี้

Jawbone UP24

  • หน้าตาแอพดูดีกว่า ใช้งานง่าย อ่านง่าย
  • การเพิ่มข้อมูลอาหารทำได้ง่าย
  • การสลับโหมดระหว่างโหมด Active กับโหมด Sleep ทำได้ง่ายกว่า แค่กดปุ่มบนตัวสายรัดค้างไว้
  • น่าจะมีความแม่นยำมากกว่า Fitbit Flex

Fitbit Flex

  • ราคาสบายกระเป๋ากว่า
  • มีหน้าจอแสดง progress ในตัว
  • สามารถถอดสายมาล้างได้ง่าย
  • หน้าตาแอพดูเรียบง่าย
  • การดูข้อมูลแบบละเอียดทำได้ยาก ที่แสดงในตัวแอพก็ดูลำบาก จะดูฉบับเต็มต้องไปดูบนเว็บเท่านั้น
  • การเพิ่มข้อมูลอาหารที่รับประทานทำได้ยากกว่า
Tags:

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก