ทุกวันนี้เราใช้โทรศัพท์กันเยอะมากในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการคุยธุระ, เช็ค E-Mail, เล่นโซเชียล หรือแม้แต่เล่นเกม ทำให้แบตเตอรี่โทรศัพท์มักจะหมดเร็วกว่าปกติ จึงต้องเสียบชาร์จอยู่ตลอดไม่ว่าจะจาก Powerbank หรืออะแดปเตอร์ชาร์จไฟ บางทีชาร์จยังไม่ทันเต็มก็ต้องหยิบออกมาใช้อีกแล้ว ทำให้เราใช้งานได้ไม่นานก็ต้องกลับไปชาร์จอยู่เหมือนเดิม ระบบ Fast Charge หรือการชาร์จเร็วจึงเกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในลักษณะนี้
ระบบ Fast Charge ตอบโจทย์การใช้งานก็เพราะว่าแบตเตอรี่โทรศัพท์สมัยนี้ ถูกออกแบบมาให้มีขนาดที่ใหญ่มากขึ้นเพื่อให้เพียงพอกับการใช้งานโทรศัพท์ในแต่ละวัน โดยสมัยก่อนโทรศัพท์จะมีแบตเตอรี่ประมาณ 2,000 mAh ใช้เวลาในการชาร์จไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็เต็ม แต่ในปัจจุบันแบตเตอรี่ในโทรศัพท์นั้นมีขนาดใหญ่ขึ้น บางรุ่นมีความจุ 3,000- 5,000 mAh เลยทีเดียว ทำให้เวลาในการชาร์จไฟเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวหรือนานกว่า เพราะแบบนี้จึงต้องมีระบบ Fast Charge เพิ่มเข้ามาในโทรศัพท์เพื่อที่จะลดเวลาในการชาร์จแบต
โดยการชาร์จเร็วจะประกอบไปด้วยหลาย ๆ ปัจจัย เช่น CPU, สายไฟ, อะแดปเตอร์ รวมไปถึงตัวโทรศัพท์ที่ต้องรองรับด้วย ถึงจะทำให้การชาร์จเร็วสามารถทำงานออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยระบบการชาร์จเร็วก็จะแบบออกมาเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
- ใช้เทคโนโลยีของผู้ผลิตชิป
- คิดค้นระบบชาร์จเร็วขึ้นมาเอง
1. Quick Charge ของ Qualcomm
Quick Charge เป็นเทคโนโลยีการชาร์จเร็วจากทาง Qualcomm ที่โทรศัพท์ส่วนใหญ่เลือกใช้ เพราะเป็นเหมือนกับมาตรฐานกลางในการชาร์จเร็ว โดยจะต้องใช้อะแดปเตอร์ Quick Charge และโทรศัพท์ที่ใช้ CPU ของ Qualcomm ถึงจะสามารถชาร์จเร็วได้ ในปัจจุบันนั้นมีการพัฒนาออกมาถึง 4 รุ่นดังนี้
- Quick Charge 1.0 รุ่นที่รองรับ Snapdragon 600
- Quick Charge 2.0 รุ่นที่รองรับ Snapdragon 200, 208, 210, 212, 400, 410, 412, 415, 425, 610, 615, 616, 800, 801, 805, 808, 810
- Quick Charge 3.0 รุ่นที่รองรับ Snapdragon 820 , 620 , 618 , 617 และ 430
- Quick Charge 4.0 รุ่นที่รองรับ Snapdragon 630, 660, 835
*โดยจากที่ยกตัวอย่างชิปมา ไม่จำเป็นว่าโทรศัพท์ที่ใช้ชิปทุกตัวจะรองรับ Quick Charge ทุกรุ่น ต้องตรวจสอบสเปคก่อนซื้อกันอีกที
โดยความเร็วในการชาร์จนั้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ก็มีการพัฒนาความสามารถอื่น ๆ หรือระบบความปลอดภัยเข้ามาด้วย แต่ละรุ่นก็จะมีแรงดันไฟที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
- Quick Charge 1.0 5V 2A
- Quick Charge 2.0 5V,2A / 9V,2A / 12V 1.67A
- Quick Charge 3.0 แรงดันไฟ 3.6V – 20V/ กำลังไฟ 2.5A – 4.6A
- Quick Charge 4.0 ยังไม่มีข้อมูล
อุปกรณ์ที่รองรับ Quick Charge นั้นสามารถใช้งานกันข้ามรุ่นได้ เช่น โทรศัพท์ที่รองรับ Quick Charge 3.0 สามารถใช้งานกับอะแดปเตอร์ Quick Charge 1.0 , 2.0 ได้แต่ความเร็วจะขึ้นอยู่กับตัวอะแดปเตอร์ ส่วนถ้าเอาไปใช้กับ Quick Charge 4.0 ก็จะได้ความเร็วแค่ Quick Charge 3.0 ตามโทรศัพท์
**นอกจากนี้ยังมีรุ่นที่ใช้เทคโนโลยี Quick Charge แต่เอาไปตั้งซื่อเองใหม่ ให้มีความเก๋ ๆ อีกด้วย เช่น**
- Turbo Charger ของ Moto
- Dual Chip Charging ของ Vivo
2. Pump Express Plus ของ MediaTek
Mediatek ก็มีระบบชาร์จเป็นของตัวเอง โดยเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Pump Express Plus มีจุดเด่นตรงที่สามารถชาร์จไฟได้ 0-75% ภายในเวลาแค่ 20 นาที โดยหลักการทำงานนั้นแน่นอนว่าจะต้องใช้กับโทรศัพท์ที่ใช้ CPU ของ Mediatek เช่นตระกูล Helio และต้องใช้หัวชาร์จเฉพาะของ Pump Express Plus ด้วย
โดย Pump Express Plus ก็มีการพัฒนาขึ้นมาแล้วถึง 3 รุ่นด้วยกัน มีการเพิ่มความเร็วในการชาร์จ และปรับปรุงระบบความปลอดภัยให้ดีมากขึ้นด้วย
เทคโนโลยี Pump Express Plus เองก็สามารถปรับค่าความต้านทานไฟได้ตามสายชาร์จที่เราใช้ ซึ่งจะต่างกับ Quick Charge 3.0 ที่ไม่สามารถปรับเองได้
นอกจากนี้ยังมีผู้ผลิตโทรศัพท์อยู่ 1 ค่ายที่ใช้เทคโนโลยีจากทั้ง 2 เจ้านั้นก็คือ Sony เพราะเป็นเจ้าเดียวที่ใช้ทั้งชิป Snapdragon กับ Mediatek ทำให้มีทั้งโทรศัพท์ที่ใช้ Quick Charge และ Pump Express Plus โดยโทรศัพท์รุ่นเรือธงจะเลือกใช้ Quick Charge ส่วนโทรศัพท์ราคากลาง ๆ จะใช้เป็น Pump Express Plus
*Sony จะไม่แถมอะแดปเตอร์แบบชาร์จเร็วมาให้ ต้องซื้อเเยกเองในราคาประมาณ 1,200 บาท
โดย Sony ได้ออกหัวอะแดปเตอร์แบบพิเศษมาก็คือ Sony UCH12W ที่รองรับระบบ Qualcomm Quick Charge 3.0 และ Mediatek Pump Express Plus 2.0 ทำให้สามารถชาร์จเร็วทั้ง 2 ระบบในอะแดปเตอร์ตัวเดียวกันได้ สามารถจ่ายไฟได้สูงสุดที่ 16.2W
นอกจากนี้ Sony ยังมีระบบ Qnovo Adaptive Charging และ Battery Care ที่จะทำให้การชาร์จแบตในโทรศัพท์นั้นเสื่อมช้าลงถึง 2 เท่า ด้วยการเรียนรู้การใช้งานของผู้ใช้ อย่างเวลาที่เราชาร์จมือถือปกติระบบก็จะชาร์จไฟไปจนเต็ม 100% ทิ้งไว้ทั้งคืน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แบตเสื่อม แต่ระบบ Battery Care ของ Sony จะรู้ว่าเราจะไม่ได้ใช้โทรศัพท์ในเวลานอนจนถึง 7 โมงเช้า ระบบก็จะชาร์จไฟเข้าเครื่องไม่ให้เต็มในเวลาที่เรานอน และจะเริ่มชาร์จต่อจนเต็มเมื่อเราใกล้จะตื่นอีกที ทำให้แบตเตอรี่เสือมช้าลงถึง 2 เท่าเลยทีเดียว ข้อมูลเพิ่มเติมคลิก ที่นี้
ถัดมาก็จะเป็นระบบชาร์จเร็วที่แบรนด์เอาไปพัฒนาขึ้นมาใช้งานกับสมาร์ทโฟนของตัวเองโดยเฉพาะ จะมีอะไรบ้างก็เลื่อนลงมาอ่านต่อได้เลย
1. VOOC Flash Charge ของ OPPO
OPPO เป็นเจ้าแรกที่ทำเรื่องชาร์จเร็ว โดยนำไปใช้กับ OPPO Find 7 เป็นรุ่นแรก มีจุดเด่นในเรื่องความเร็วในการชาร์จ สามารถชาร์จแบตจาก 0-75 % ได้ภายในเวลา 30 นาที โดยจ่ายไฟได้มากสุดถึง 5V 4A เลยทีเดียว หลักการทำงาน ต้องใช้อะแดปเตอร์และสายไฟเฉพาะ ของ OPPO ถึงจะสามารถใช้งานได้ โดยการที่จ่ายไฟสูงถึง 5V 4A นั้นตัวระบบ VOOC Flash Charge จะมีการปรับกระแสไฟให้เหมาะสมกับการชาร์จด้วย เช่น ชาร์จเร็วมากในระดับแบต 0-75 % จะปล่อยกระแสไฟที่ 5V 4A หลังจากเกิน 75% ไปแล้วระบบจะลดกระแสไฟลงมาอยู่ที่ 5V 2A แทน
ฝั่งซ้ายเป็นหัว USB VOOC Flash Charge ของ OPPO จะเห็นได้ว่ามีจำนวน Pin เยอะกว่า หัว USB แบบธรรมดา เอาไว้รับกระเเสไฟเพิ่มมากกว่าปกติ พอมาถึงตรงนี้หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่ามันจะปลอดภัยไหม อันนี้ต้องบอกก่อนว่า VOOC Flash Charge มีระบบป้องกันอันตรายมากมาย ได้แก่
ตัวทดสอบแรงดันไฟฟ้าที่ติดตั้งในอะแดปเตอร์
ตัวบ่งชี้ VOOC ที่ติดตั้งอยู่ในอะแดปเตอร์
ตัวบ่งชี้ VOOC ที่ติดตั้งอยู่ในโทรศัพท์
ตัวทดสอบแรงดันไฟฟ้าที่อยู่ในโทรศัพท์
ทำให้เรามั่นใจได้เลยว่าการใช้ VOOC Flash Charge นั้นจะมีความปลอดภัยอย่างแน่นอน
2. Super Charge ของ Huawei
Super Charge เป็นระบบชาร์จเร็วของ Huawei ใช้กับ Mate 9/9 Pro เป็นรุ่นแรก โดยที่ Huawei ได้มีการออกแบบทาง Hardware และ Software เองทั้งหมด
เรื่องความปลอดภัยนั้น Super Charge ของ Huawei เองก็มีมาให้ถึง 5 จุดเลยดังนี้
- ตัวอะแดปเตอร์
- ช่อง USB-C
- แบตเตอรี่
- ตัววัดกระแสไฟ
- ซิปในการชาร์จไฟ
โดยในแต่ละจุดก็จะมีเซนเซอร์ตรวจวัดจุดละ 3 ตัว เช่น ตัวป้องกันแรงดันไฟฟ้า ต้วป้องกันกระแสไฟ และตัววัดอุณหภูมิ รวมทั้งหมดจะมี 15 ขั้นตอนในการตรวจสอบ ทำให้เรามั่นใจได้เลยว่า Super Charge ของ Huawei มีความปลอดภัยอย่างแน่นอน
โดยที่การชาร์จแบบ Super Charge จะปล่อยกระแสไฟออกมาที่ 5V,2A / 4.5V,5A / 5V 4.5A
นอกจากจะชาร์จเร็วแล้วยังมีอุณหภูมิที่เย็นกว่าอีกด้วยเพราะว่าระบบ Super Charge ใช้ความดันไฟตำ่แต่จ่ายกระแสไฟเท่าเดิมทำให้เครื่องไม่ร้อน รวมถึงตัวอะแดปเตอร์ก็จะมีความร้อนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
3. Dash charge ของ One Plus
Dash Charge เป็นระบบชาร์จจาก OnePlus ที่ต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะเช่น สายชาร์จ อะแดปเตอร์ และโทรศัพท์ที่รองรับ โดยที่ OnePlus บอกว่าสามารถชาร์จแบตได้ 60% ภายในเวลาแค่ 30 นาที นอกจากนี้ยังสามารถชาร์จได้เร็วกว่าระบบชาร์จอื่น ๆ ในเวลาที่เรากำลังใช้งานเครื่องพร้อมกับการชาร์จ โดยจ่ายไฟคงที่ที่ 5V 4A
4. Adaptive Fast Charging ของ Samsung
Adaptive Fast Charging ของ Samsung นั้นจะใช้เทคโนโลยีที่คล้าย Quick Charge ของ Qualcomm คือตัวอะแดปเตอร์กับโทรศัพท์นั้นต้องรองรับทั้งคู่ถึงจะใช้งานได้ แต่จริง ๆ แล้วโทรศัพท์ Samsung จะรองรับการใช้งาน Quick Charge ของ Qualcomm ด้วย เพราะว่าโทรศัพท์ Samsung นั้นจะมี CPU 2 รุ่น คือ Qualcomm และ Exynos ทำให้เกิดความสับสนบ้าง (แต่ในไทยจะใช้เป็น Adaptive Fast Charginge ทั้งหมดเพราะใช้ CPU Exynos ) โดยที่มีกำลังไฟในการชาร์จอยู่ที่ 5V.2A และ 9V.1.67A
5. BoostMaster ของ ASUS
Asus นั้นเหมือนจะไม่มีระบบชาร์จเร็วแต่จริง ๆ แล้วมี และถูกใช้กับ ZenFone 2 เป็นรุ่นแรกก็คือ BoostMaster มีจุดเด่นคือสามารถชาร์จเพียง 39 นาทีจะได้แบตถึง 60% บนแบตเตอรี่ความจุ 3000 mAh โดยที่โทรศัพท์และอะแดปเตอร์ที่ใช้ต้องรองรับ BoostMaster ด้วย สามารถปล่อยกระแสไฟออกมาที่ 5V 2A และ 9V 2A นอกจากนี้โทรศัพท์บางรุ่นของ Asus ยังรองรับ Quick Charge อีกด้วย ในรุ่นที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon
ใช้ระบบชารจ์เร็วไปนาน ๆ แบตเสื่อมจริงไหม?
อันนี้ตอบได้เลยว่าเสื่อมจริง แต่โดยปกติแบตเตอรี่ก็จะเสื่อมโดยอายุของมันเองอยู่ด้วยแล้ว การใช้ระบบชาร์จเร็วอาจจะทำให้แบตเสื่อมเร็วขึ้นด้วยสาเหตุเหล่านี้ ความร้อนในเวลาชาร์จ การใช้แรงดันไฟสูงเป็นเวลานานในการชาร์จ เป็นต้น แต่ว่าไม่ได้ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมแบบทันทีทันใด โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 1 – 2 ปีตามลักษณะการใช้งาน บางทีเราอาจจะเปลี่ยนไปใช้โทรศัพท์เครื่องใหม่ก่อนที่แบตจะเสื่อมเสียอีก
จากที่อธิบายมาระบบชาร์จเร็วนั้นดี แต่ก็ต้องใช้ให้ถูกวิธีด้วย เช่น ไม่ใช้อแดปเตอร์หรือสายชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่เล่นไปชาร์จไปเพราะจะทำให้เกิดความร้อน เพียงเท่านี้เราก็ใช้ระบบชาร์จเร็วโดยที่ไม่ต้องมากังวลใจกันอีกแล้ว