วิธีเปิดใช้ Apple Music พร้อมวิธีปิดการต่ออายุหลังอัตโนมัติ กันโดนหักเงินฟรีหลังครบ 3 เดือน

IMG_3124

เมื่อคืนที่ผ่านมา ก็เรียบกันไปแล้วนะครับ กับการเปิดให้ใช้งาน Apple Music บริการเปิดให้ฟังเพลงแบบสตรีมมิ่งเป็นครั้งแรกของ Apple ซึ่งมีจุดเด่นคือจำนวนเพลงที่มีมากถึง 30 ล้านเพลง แถมยังเป็นบริการที่ฝังมากับ iOS 8.4, โปรแกรม iTunes มาเลย รวมถึงยังจะเปิดให้ชาว Android ได้ใช้งานกันในเร็วๆ นี้ด้วย แต่ที่เด็ดก็คือค่าบริการในไทยที่ตกเดือนละประมาณ 170 บาทเท่านั้น แถมยังเปิดให้ใช้งานฟรี 3 เดือนแรกอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่จะมีคนแห่เข้าไปลองใช้งานกันอย่างมหาศาลในช่วงนี้ครับ

สำหรับในบทความนี้เราก็จะพามาทำความรู้จักกับ Apple Music ว่ามันมีหน้าตาอย่างไร ทำอะไรได้บ้าง มาเริ่มตั้งแต่แรกกันเลย

1

หลังจากอัพเดตเป็น iOS 8.4 แล้ว จะพบว่าไอคอนของแอพ Music เปลี่ยนจากสีชมพูมาเป็นพื้นหลังสีขาวแทนนะครับ ก็ดูแปลกตากว่าเดิม พอเปิดแอพ Music ขึ้นมา ก็จะพบกับหน้าต้อนรับสู่บริการ Apple Music ก่อนเลย ถ้าต้องการเปิดใช้งาน ก็ให้กดที่ปุ่ม START 3 MONTH FREE TRIAL ซะ แต่ถ้าไม่อยากใช้ ก็กด GO TO MY MUSIC แทนก็ได้นะ

ขั้นตอนต่อมาก็เป็นให้เลือกว่าจะซื้อแพลนบริการแบบไหน ระหว่างแบบเดี่ยว (Individual) ค่าบริการเดือนละ $4.99 ก็คือประมาณ 170 บาท หรือจะเป็นแบบครอบครัว (Family) ที่ใช้งานได้ 6 คน ตกเดือนละ $7.99 หรือประมาณ​ 270 บาท (ถ้าใช้งานกันเป็นครอบครัว หรือหารกับเพื่อนได้ จะคุ้มมากๆๆ) โดยถ้าหากเราเปิดใช้งาน Apple Music ก็จะเป็นการเปิดใช้งานฟังก์ชัน iCloud Music Library ไปด้วยเลย ดังนั้นก็จำเป็นจะต้องเปิดใช้งาน iCloud ด้วยนะครับ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้สามารถฟังเพลงของเราจากในทุกอุปกรณ์ได้เลย

เมื่อเลือกแพลนได้เรียบร้อยแล้ว ระบบก็จะให้เราเลือกแนวเพลง เลือกศิลปินที่สนใจ ก็กดเลือกที่ชอบไปได้เลย

  • กด 1 ครั้งเพื่อบอกว่าเราชอบศิลปินนี้
  • กด 2 ครั้งเพื่อบอกว่าเรารักศิลปินนี้
  • กด 1 ครั้งแล้วกดค้างไว้ เพื่อบอกว่าเราไม่ชอบศิลปินนี้

ถ้าไม่มีในรายชื่อก็กดที่ More artist นะครับ โดยรายชื่อเหล่านี้จะนำมาใช้ในการคัดเลือกเพลงจากแนวเพลงและศิลปินที่เราสนใจมาให้ฟังกันนั่นเอง ซึ่งนอกเหนือจากรายชื่อตรงนี้แล้ว ก็จะดูจากเพลงที่เรามีในเครื่องด้วย

2

ทีนี้มาดูหน้าตาของส่วนต่างที่น่าสนใจใน Apple Music กัน เริ่มจากแท็บแรก แท็บ For You ซึ่งเป็นแท็บที่ใช้แสดงรายชื่อศิลปิน อัลบั้มที่น่าจะตรงใจเรา โดย Apple Music จะทำการคัดจากรายชื่อเมื่อกี้นี่แหละครับ แล้วมาจัดเป็น playlist ให้ลองฟังกัน ฟีเจอร์นี้คนชอบหาเพลงใหม่ๆ ฟังน่าจะชอบนะ เพราะทำให้ได้รู้จักนักร้องใหม่ เพลงใหม่ ได้เยอะจริงๆ เมื่อลองกดเข้าไปดูใน playlist ที่จัดมาให้ ก็จะมีรายชื่อเพลง มีที่มาให้ได้อ่านทำความรู้จักกัน ส่วนปุ่มเมนูต่างๆ ที่น่าสนใจก็เช่น

  • ปุ่ม + ใช้สำหรับเพิ่มรายชื่อ playlist นี้เข้ามาในคลังเพลงของเรา (แค่เพิ่มชื่อเฉยๆ ยังไม่ได้ดาวน์โหลดไฟล์เพลง)
  • ปุ่มหัวใจ ใช้บอกว่าเราชอบ playlist นี้นะ
  • ปุ่มแชร์ สำหรับแชร์ขึ้น social network
  • ปุ่มเมนู (3 จุด) ใช้จัดการ playlist รวมถึงที่มีในแต่ละเพลงด้วย เช่น จัดให้เล่นเป็นเพลงถัดไป, เพิ่มเข้าคลังเพลง, ดาวน์โหลดมาฟังแบบออฟไลน์ เป็นต้น

ภาพที่สามก็เป็นหน้าแสดงการดาวน์โหลดเพลงครับ อันนี้ผมเลือกดาวน์โหลดแบบทั้ง playlist เลย ทำให้สามารถเอาไปฟังแบบออฟไลน์ได้

ภาพที่สี่ก็เป็นตัวอย่างหน้าแสดงข้อมูลอัลบั้มครับ ซึ่ง Apple Music นับเป็นบริการฟังเพลงแบบสตรีมมิ่งรายการเดียวที่มีเพลงของ Taylor Swift ในปัจจุบันเลยนะ สำหรับเพลงที่มีให้บริการใน Apple Music นั้น เท่าที่ผมลองใช้ดู พบว่ามันไม่ใช่เพลงที่มีทั้งหมดใน iTunes Store นะครับ เช่น ผมลองหาเพลงของ Bodyslam ใน Apple Music พบว่ามีแต่อัลบั้มเก่าๆ เท่านั้น ต่างจากใน iTunes Store ที่มีขายยันอัลบั้มล่าสุดเลย ตรงนี้ก็จัดว่าเป็นข้อจำกัดข้อหนึ่งแหละนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีการเพิ่มเพลงเข้ามาในอนาคตอีกหรือเปล่า เช่น หลังจากเริ่มเก็บเงินรายเดือน อาจจะมีเพลงเพิ่มขึ้นก็ได้ อันนี้ต้องรอดูกันอีกที

3

แท็บที่สอง New อันนี้ก็เป็นหน้ารวมเพลงใหม่ๆ เพลงติดชาร์ท เพลงน่าสนใจมาให้ลองฟังกันนั่นเอง

ภาพที่สอง อันนี้เป็นหน้าจอเมนูหลังกดปุ่ม 3 จุดแล้วครับว่ามีอะไรบ้าง ที่เด่นก็คงเป็นเมนู Make Available Offline นี่แหละ ที่ทำให้เราดาวน์โหลดเพลงมาฟังแบบออฟไลน์ได้ ซึ่งถ้าเรากดโหลดทั้งอัลบั้มก็ไม่ยาก เพราะสามารถกดปุ่มเมนูของตัวอัลบั้มได้เลย แต่ถ้าเราต้องการโหลดแค่บางเพลงในอัลบั้มเท่านั้น อันนี้อาจจะเหนื่อยหน่อย คือต้องมานั่งกดเมนูแล้วเลือกทีละเพลงๆ จนกว่าจะครบที่ต้องการ ส่วนถ้าเราฟังเพลงไหนแล้วชอบ อยากซื้อขาด ก็กด Show in iTunes Store เพื่อเข้าไปซื้อได้เลยจ้า

ในการฟังเพลงนั้น ถ้าเลือกใช้เป็นแพลนเดี่ยว (Individual) ก็จะสามารถฟังเพลงได้แค่ทีละเครื่องเท่านั้น ไม่สามารถฟังพร้อมกันบน 2 เครื่องได้ เช่น ถ้าผมฟังเพลงจาก Apple Music บน iPhone แล้วไปกดฟังเพลงจาก Apple Music ที่โปรแกรม iTunes บนคอมพิวเตอร์ เพลงใน iPhone จะดับลงทันที เปลี่ยนมาเล่นเพลงที่กดบนคอมพิวเตอร์แทน ทั้งนี้จะมีผลก็ต่อเมื่อเป็นการกดฟังเพลงจาก Apple Music เท่านั้น (ไม่ว่าจะฟังออนไลน์ หรือฟังจากไฟล์ที่กดโหลดมาฟังแบบ offline แล้วก็ตาม) ส่วนในกรณีที่มีเครื่องใดเครื่องหนึ่งฟังเพลงจากในเครื่องเอง (เพลงที่ซื้อขาดมาแล้ว) อันนี้จะไม่มีผลครับ อีกเครื่องหนึ่งสามารถฟังจาก Apple Music ได้ตามปกติ

ส่วนภาพที่สี่ จะเป็นหน้าค้นหาครับ ซึ่งสามารถเข้าได้จากการกดปุ่มแว่นขยายที่มุมขวาบนของแอพ Music โดยสามารถหาได้ทั้งจากบน Apple Music และหาเพลงที่มีอยู่ในเครื่องได้ในที่เดียวกันเลย ก็สะดวกดีนะ

4

แท็บที่ 3 แท็บ Radio ก็ตามชื่อครับ คือเป็นแท็บไว้สำหรับฟังวิทยุออนไลน์ผ่านเน็ต ก็มีหลายรายการให้เลือกนะ มีทั้งรายการเปิดเพลงฮิต เปิดเพลงตามแนวเพลง เป็นต้น ส่วนที่เด่นสุดก็คือสถานี Beats 1 ครับ ซึ่งเป็นสถานีที่มีดีเจจัดจริงๆ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยดีเจก็มาจากหลายๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็นจาก Los Angeles, New York และที่ London สามารถฟังได้ทั่วโลกเลย ซึ่งก็จะมีทั้งการเปิดเพลง การสัมภาษณ์ศิลปินต่างๆ ด้วย

แท็บที่ 4 แท็บ Connect อันนี้จะเรียกว่าเป็น iTunes Ping กลับมาเกิดอีกครั้งก็ว่าได้ เพราะมันคือโซเชียลเน็ตเวิร์คที่เปิดให้ศิลปินสื่อสารกับแฟนเพลงได้โดยตรง เช่น อาจจะมีโพสรูป โพสความคืบหน้าการทำเพลง โพสคลิปวิดีโอ exclusive ให้แฟนๆ ดู เป็นต้น ผู้ใช้สามารถกดไลค์ กดแชร์ แสดงความเห็นได้เลย ก็ต้องดูว่าจะไปได้ดีขนาดไหน หรือจะกลับบ้านเก่าเหมือน iTunes Ping ก็ต้องดูกันครับ

ส่วนในภาพที่สี่ อันนี้เป็นหน้าการตั้งค่าของแอพ Music (เข้าไปที่ไอคอน Settings ในหน้าโฮม > Music) จะเห็นว่ามีเมนูเพิ่มขึ้นมาพอสมควรเหมือนกัน เช่น Show Apple Music ซึ่งถ้าใครคิดว่าคงไม่ได้ใช้อยู่แลว้ ก็จัดการปิดซะก็ได้ อีกอันที่เพิ่มขึ้นมาก็คือ iCloud Music Library ซึ่งถ้าหากเปิดใช้งาน Apple Music ก็จะบังคับว่าต้องเปิดอันนี้ด้วยเหมือนกัน เพื่อให้สามารถฟังเพลงในคลังเพลงของเราได้จากทุกอุปกรณ์ที่ใช้ Apple ID เดียวกัน

 

วิธีปิดการต่ออายุสมาชิก Apple Music อัตโนมัติ

5

ในการใช้งานครั้งแรก Apple Music จะเปิดให้ผู้ใช้ทุกคนได้ทดลองใช้งานฟรี 3 เดือน จากนั้นค่อยเก็บค่าใช้งานเดือนละ 170 บาท ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ ท่านก็คงจะไม่ต่ออายุการใช้งาน แต่ Apple ก็เหมือนกับผู้ให้บริการแนวออนไลน์แบบนี้หลายๆ รายครับ คือจะเปิดฟังก์ชันการต่ออายุสมาชิกให้อัตโนมัติทุกๆ เดือน เพื่อจะได้สามารถใช้งานบริการได้อย่างต่อเนื่องไหลลื่น (และก็แน่นอนว่าเงินเราก็โดนหักไปอย่างไหลลื่นด้วย) ตรงนี้เราจะมาดูวิธีปิดฟังก์การต่ออายุ Apple Music อัตโนมัติกันครับ เผื่อใครที่ไม่ทราบ และไม่อยากต่ออายุ จะได้จัดการซะตั้งแต่เนิ่นๆ เลย

เริ่มแรก ก็เข้าไปที่เมนูการตั้งค่าของผู้ใช้ก่อน หาง่ายๆ คือมองที่มุมซ้ายบนของ Apple Music จะมีไอคอนรูปหัวคนอยู่ในวงกลมสีชมพู กดเข้าไปก็จะมาเจออย่างในภาพแรก ซึ่งในการเปิดใช้งานครั้งแรก ก็จะพบหน้านี้มาให้ตั้งค่าข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น ใส่ชื่อเล่น @______ อย่างของผมเองก็ตั้งเป็น @zerosystem ซึ่งอันนี้จะใช้สำหรับในส่วน Connect ที่เปิดให้คนอื่นเมนชั่นมาตอบข้อความเราได้ พอเข้ามาแล้ว ก็กดที่เมนู View Apple ID แล้วกรอกรหัสผ่าน Apple ID ซะ

เข้ามาหน้าที่สองก็ให้เลื่อนลงมาด้านล่างนิดหน่อย ดูที่หัวข้อ SUBSCRIPTIONS แล้วกดปุ่ม Manage

หน้าต่อมาก็เป็นหน้า Yor Membership ที่จะแสดงว่าตอนนี้เราเป็นสมาชิกของบริการอะไรอยู่บ้าง ถ้าอันไหนที่ใช้อยู่ก็จะขึ้นเป็นคำว่า Active ก็กดเข้าไปที่ Apple Music Membership เลย

เข้ามาแล้วก็จะบอกว่าระยะเวลาการใช้งานของเราสิ้นสุดเมื่อไหร่ อย่างถ้าทดลอง 3 เดือน แล้วเริ่มใช้งานตั้งแต่เมื่อคืนเลย ก็จะใช้งานฟรีได้ถึง 30 กันยายน 2558 รวมถึงจะปรับเปลี่ยนแพลนการสมัครสมาชิกก็ทำได้ ส่วนถ้าจะปิดการต่ออายุสมาชิกอัตโนมัติ ก็ให้กดสวิทช์ปิดที่หัวข้อ Automatic Renewal ซะ แค่นี้ก็จบละครับ ไม่ต้องกลัวว่าหลังทดลองฟรีแล้วจะโดนหักเงินแน่ๆ ละทีนี้

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก